ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

การลงทุนในทองคำ เป็นการสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความผันผวนจากการนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าของสหรัฐฯที่จะส่งผลต่อหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐฯ ทางสหรัฐฯมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น และความผันผวนของค่าเงิน รวมทั้งภาวะสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง โดยทองคำถูกมองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หากเกิดปัจจัยที่จะส่งถึงความผันผวนในการลงทุน นักลงทุนกลับมาลงทุนในทองคำมากขึ้น รวมถึงมีแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางชาติต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย เป็นปัจจัยช่วยหนุนราคาทองคำเพิ่มขึ้น

 

ทำไมทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven เป็นสินทรัพย์ที่หากลงทุนในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจผันผวน หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ยังสามารถรักษามูลค่าหรือมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้ รวมทั้งไม่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับเศรษฐกิจโดยรวม นักลงทุนเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนสูงหรือเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ผลตอบแทนในอดีตของทองคำถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หากไม่ใช่ช่วงวิกฤต ราคาทองคำมีความผันผวนต่ำ และทองคำมีสภาพคล่องสูง เป็นสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ทุกประเทศทั่วโลก นอกจากทองคำที่มองว่าเป้นสินทรัพย์ปลอดภัยแล้ว สินทรัพย์ที่จัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น เงินสด พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรของภาครัฐ เป็นต้น

 

ทำไมทองคำที่ยังน่าสนใจในการลงทุน

  1. มีความปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจผันผวนหรือวิกฤติ หากเราย้อนดูผลตอบแทนของทองคำในอดีตในช่วงวิกฤต ทองคำให้ผลตอบแทนเป็นบวก และมีความผันผวนต่ำ จึงทำให้เวลาเกิดวิกฤตจะมีการลงทุนในทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น
  2. ป้องกันเงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถลดความผันผวนจากเงินเฟ้อได้ ราคาทองคำมีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันกับเงินเฟ้อ หากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น การลงทุนในทองคำก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีและเอาชนะเงินเฟ้อได้
  3. มีสภาพคล่องสูง ทองคำเป็นสินทรัพย์มีค่าที่เป็นที่ยอมรับ และสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ทั่วโลก หากต้องการใช้เงิน สามารถขายทองคำได้ทันที
  4. การกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ราคาทองคำมีความสัมพันธ์กับหุ้นในระดับต่ำ หากเรามีการลงทุนในสินทรัพย์หุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีวามเสี่ยงสูงในพอร์ตและไม่อยากรับความผันผวนพอร์ตมาก สามารถกระจายการลงทุนทองคำในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงได้ หากเกิดวิกฤตราคาทองคำมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในพอร์ตเป็นบวกได้ ช่วยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตดีขึ้น

 

ทองคำมีทิศทางราคาสูงขึ้นในระยะยาวอย่างชัดเจน ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา (2005-2025) ราคาทองคำต่อออนซ์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากราว $513 ในปี 2005 เป็นมากกว่า $1,800 ในปี 2020 และทะลุ $3,000 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

​สำหรับ ช่วง 5 ปีล่าสุด ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างโดดเด่น โดยนับตั้งแต่ปี 2019 จนถึงต้นปี 2024 ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 80% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น พันธบัตร​ หรือ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

 

Source: Bloomberg

จากกราฟจะเห็นว่าราคาทองคำไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีช่วงพักฐานและปรับฐานเป็นระยะๆ เช่น หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ช่วงปี 2011 ทองคำได้อ่อนตัวลงระหว่างปี 2013-2015 จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติ​

อย่างไรก็ดี ในภาพรวม ทองคำยังคงรักษามูลค่าและทำสถิติสูงสุดใหม่ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเงิน

ทองคำมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว

Source: Bloomberg

  • ทองคำมักให้ผลตอบแทนสูงในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง (~1-3%) เช่น ในช่วงปี 2019-2020 ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1-2% แต่ผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 18-24%
  • ในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงมาก (เช่น 2021-2022 ที่เงินเฟ้อแตะ 8%) ทองคำกลับไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงเสมอไป บางปีราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อยหรือไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งอาจเกิดจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
  • โดยรวมแล้ว ทองคำยังคงรักษามูลค่าได้ดีในระยะยาว และให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วงที่เงินเฟ้อสูงเกิน 3% ต่อปี
  • ในปัจจุบันเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 3% อยู่ในระดับที่ทองคำมักจะสร้างผลตอบแทนได้ดี

สรุปมุมมองว่า “ทองคำจะไปต่อหรือพอแค่นี้” เรามองว่าทองคำสามารถ “ไปต่อ” ได้อีกในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จีน ยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง ที่ยังคงคุกรุ่นในปีนี้ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นมาจากนโยบายด้านเศรษฐกิจ และ สงครามการค้าของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นรับความเสี่ยงมาส่วนนึงแล้วตั้งแต่ต้นปี ทำให้ทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 15% ทำให้ Upside อาจจะเหลือไม่ได้เยอะมากนัก จึงแนะนำว่าการลงทุนในทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ ควรลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตเป็นหลัก อาจจะไม่ได้เหมาะกับการเก็งกำไรมากนัก