
เผยแพร่โดย Wealthy Thai: https://www.wealthythai.com/th/updates/mutual-funds/fun-of-funds/33836
ตั้งแต่ผ่านพ้นการเลือกตั้งสหรัฐฯในช่วงต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาด Cryptocurrency เฉลิมฉลองการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump กันอย่างร้อนแรง โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา 4.7% หุ้นสหรัฐฯขนาดเล็ก (Russell 2000) ปรับตัวขึ้นมา 6.7% และ Bitcoin ปรับตัวขึ้นถึง 34% (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พ.ย. 67)
โดยหลังจากนี้อีก 4 ปี โลกของตลาดการลงทุน มีโอกาสผันผวน และ เคลื่อนไหวตามนโยบายที่ถูกกำหนดจากประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 อย่างสหรัฐฯ ที่ถูกคุมเกมส์โดย “Donald Trump” ซึ่งเหมือนอย่างที่เราเคยเห็นกันมาแล้วในช่วงปี 2016 – 2020 ที่ผลตอบแทนของตลาดการลงทุนในภาพรวมแม้จะค่อนข้างดี แต่ ก็มาพร้อมความผันผวนที่สูง
อย่างไรก็ตามหากเราสามารถวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่จะเกิดขึ้นในยุคสมัยของ Donald Trump ได้ ก็จะทำให้เรามีโอกาสในการจัดพอร์ตการลงทุน และ วางกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 4 ปีข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
สรุป 5 ประเด็นสำคัญที่เราต้องได้เจอในยุคสมัยของ Donald Trump และผลกระทบต่อตลาดการลงทุน
- นโยบายลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ
นโยบายสำคัญที่ Trump ชูมาตลอด คือ การต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล หรือ Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ไปจนถึงปี 2034 โดยจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคลจากระดับ 21% สู่ระดับ 15%โดยทาง Goldman Sachs คาดว่าทุกๆการปรับลดภาษีนิติบุคคล 1% จะทำให้กำไรของบริษัทสหรัฐฯใน S&P500 เพิ่มขึ้น 1% และ ทำให้กำไรของบริษัทชนาดเล็กในดัชนี Russell 2000 ปรับตัวขึ้น 1.2% ตามไปด้วย ซึ่งถ้าเราย้อนไปในช่วงปลายปี 2017 ที่ Trump เคาะนโยบายนี้ออกมา ตลาดหุ้น S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกว่า 20% ดังนั้นปัจจัยนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงปี 2025
- เงินเฟ้อสหรัฐ มีโอกาสดีดตัวขึ้น และยืนในกรอบ 2.5 – 3.0% ทำให้ FED ลดดอกเบี้ยได้ช้าลง
สืบเนื่องจากนโยบายการลดภาษี และ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่เตรียมประกาศใช้ในยุคสมัยของ Trump เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯมีโอกาสเร่งตัวขึ้นมา (เงินเฟ้อจะสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจดี) โดย ในช่วงที่ Trump ดำรงตำแหน่งรอบก่อนในปี 2017 เงินเฟ้อสหรัฐฯอยู่เพียง 1.7%ก่อนจะเร่งตัวขึ้นไปถึงระดับ 2.9% (ก่อน Covid-19) ทำให้คาดการณ์ว่าในครั้งนี้เงินเฟ้อก็มีโอกาสเร่งตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้ FED จะต้องกลับมาปวดหัวอีกรอบเพราะเงินเฟ้อ และลดดอกเบี้ยได้ช้าลง ซึ่งการที่ FED ลดดอกเบี้ยได้ช้าลงจะส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯเร่งตัวขึ้นตาม และกดดันผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้มากนัก เพราะถึงต้นทุนทางการเงินยังสูงจากดอกเบี้ยที่ลงช้า แต่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่แข็งแรงขึ้น จึงแนะนำว่าการจัดพอร์ตการลงทุนในระยะข้างหน้า ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือ กองทุนหุ้นสหรัฐฯ และ คงหรือลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯลง
3 เตรียมยุติสงคราม สร้างความมั่นคงให้สหรัฐฯ
มีโอกาสสูงที่ Trump จะสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และ กดดันอิสราเอลให้หาทางสงบศึกกับฮามาส รวมถึงพิจารณาประเด็นความมั่นคงกับไต้หวัน ซึ่งเราน่าจะได้เห็น Trump มี Action ในประเด็นสำคัญต่างๆเหล่านี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามปัญหาระหว่างประเทศต่างๆยังค่อนข้างซับซ้อน เชื่อว่า Trump จะเข้ามาช่วยให้สถานการณ์ความขัดแย้งทุเลาลง แต่ไม่ได้จบไป ดังนั้นประเด็นความขัดแย้งเชิงภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันโลกการลงทุนต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง ก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อย่างทองคำ หรือ น้ำมัน ที่มักปรับตัวขึ้นดีในช่วงที่เกิดความขัดแย้งต่างๆได้
- สนับสนุน Crypto Currency แบบเต็มระบบ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งที่ Trump มี Polls แซง Harris ขึ้นมา สินทรัพย์หลักๆที่พุ่งแรงตาม Polls ขึ้นมาก็ คือ Crypto Currency และหลังจากรู้ผลการเลือกตั้ง ก็เรียกว่า Crypto แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่กันเลยทีเดียว โดยนโยบายของ Trump คือ สนับสนุนการแก้กฎหมายเพื่อพัฒนาและใช้ Crypto Currency ในสหรัฐอย่างกว้างขวางขึ้น อย่างไรก็ตามนโยบายด้าน Crypto ของ Trump คาดว่ามาแน่ แต่อาจจะไม่ใช่นโยบายหลัก เนื่องจาก Trump จะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมาเป็นอันดับแรก ดังนั้นแม้เทรนด์ของ Crypto Currency และ Bitcoin น่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในยุคสมัยของ Trump แต่ควรต้องมีความระมัดระวังในการลงทุน
- นโยบายการค้าระหว่างประเทศและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ตั้งแต่กลางปี 2025 เป็นต้นไป นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ที่เพิ่มภาษีนำเข้าระหว่างกัน 10% และสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น 10% จะเริ่มส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าประเทศอื่น ๆ ก็จะตอบโต้สหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลับเช่นกัน โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบครอบคลุม 25% ของมูลค่าการค้าโลก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 6% ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก นโยบายนี้จะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงรวม 0.3% ในช่วงปี2025-2030
สรุป แล้ว การกลับมาของ Trump ในรอบที่ 2 นี้ จะสร้างความผันผวนให้กับโลกการลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากมีนโยบายด้านเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงหลายเรื่อง แต่อย่างไรก็ตามประเด็นต่างๆที่ได้วิเคราะห์ไว้ข้างต้น เป็นประเด็นที่เราพอจะ “คาดการณ์ได้” ซึ่งอย่างที่ทุกท่านทราบว่า ว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump มักมีอะไร “เซอไพรส์” เราเสมอ จึงควรต้องระมัดระวัง และ อย่าประมาทในการลงทุนในช่วง 4 ปีหลังจากนี้ค่ะ